[ซีรีย์] เจาะลึก ประกันชีวิตแบบควบการลงทุน Unit-Linked
ความแตกต่างระหว่าง โครงสร้างประกันชีวิตแบบทั่วไป และแบบควบการลงทุน
ก่อนจะไปรู้จักกับประกันชีวิตควบการลงทุน (ต่อไปนี้ขอเรียกทับศัพท์ว่า “ยูนิตลิงค์” (Unit-Linked) นะครับ) ผมอยากจะพาทุกท่านไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับระบบ หรือโครงสร้างเบื้องหลังของการทำประกันชีวิตทั่วไปกันสักหน่อย เพื่อที่จะได้เห็นความแตกต่างของประกันชีวิตแบบทั่วไป กับแบบยูนิตลิงค์กันนะครับ
สำหรับประกันชีวิตทั่วไป (แบบตลอดชีพ, สะสมทรัพย์ และแบบบำนาญ) โดยปกติแล้ว หลังจากที่เราจ่ายเบี้ยประกันไป บริษัทประกันจะแบ่งเบี้ยประกันของเราออกเป็น 2 ส่วน คือ 1) ส่วนที่ไว้สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการประกันภัย (ค่าใช้จ่ายในส่วนที่เป็นการทำประกันชีวิตให้เรานั่นแหละครับ) กับ 2) ส่วนที่เอาไปบริหารจัดการ โดยนำไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ (ตามนโยบายบริหารของแต่ละบริษัทประกัน) เพื่อให้ได้ผลตอบแทนกลับมา แล้วบริษัทจะดึงเอาผลตอบแทนที่ได้ส่วนหนึ่งมาจ่ายเป็น “เงินคืน” ตามสัญญาประกันชีวิตให้กับผู้เอาประกัน หรือสะสมเป็น “มูลค่าเงินสด” อยู่ในกรมธรรม์ สำหรับประกันชีวิตโดยทั่วไป ส่วนใหญ่บริษัทจะมีนโยบายลงทุนที่ไม่เสี่ยงมากนัก (เช่นลงทุนในเงินฝาก, ตราสารหนี้ หรือพันธบัตรรัฐบาลเป็นหลัก อาจจะมีลงทุนในหุ้นบ้าง เป็นส่วนน้อย) เนื่องจากบริษัทต้องจ่ายผลตอบแทนที่เป็น เงินคืน ซึ่งมีการ “การันตีผลตอบแทน” (เป็น % ของทุนประกัน) ให้กับผู้เอาประกัน ดังนั้น บริษัทจะไปลงทุนอะไรที่เสี่ยงต่อการขาดทุนมากไม่ได้
ซึ่งสัดส่วนของเงินทั้ง 2 ส่วน คือส่วนที่ 1) กับส่วนที่ 2) นี้เองครับ ที่ทำให้เกิดประกันชีวิตแบบต่างๆ ที่มีผลตอบแทน และทุนประกันคุ้มครองชีวิตที่ได้ที่แตกต่างกัน ดังนี้
ซึ่งสัดส่วนของเงินทั้ง 2 ส่วน คือส่วนที่ 1) กับส่วนที่ 2) นี้เองครับ ที่ทำให้เกิดประกันชีวิตแบบต่างๆ ที่มีผลตอบแทน และทุนประกันคุ้มครองชีวิตที่ได้ที่แตกต่างกัน ดังนี้
- ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ ที่เน้นการคุ้มครองชีวิตเป็นหลัก ไม่มีเงินคืน ก็จะมีสัดส่วนของเงินส่วนที่ 1) มากกว่าส่วนที่ 2) (คือเบี้ยที่จ่ายไป เอาไปเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการประกันภัยเกือบหมด ทำให้ได้ทุนประกันที่สูง และเหลือเงินไปลงทุนน้อย จึงไม่มีเงินคืน และมีมูลค่าเงินสดอยู่ในกรมธรรม์น้อย)
- ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์หรือแบบบำนาญ จะมีสัดส่วนของเงินส่วนที่ 1) น้อยกว่าส่วนที่ 2) (คือเบี้ยที่จ่ายไป เอาไปเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการประกันภัยน้อยกว่า เอาไปลงทุน ทำให้แบบประกันแบบนี้จะมีทุนประกันต่ำกว่าแบบตลอดชีพ (ณ เบี้ยประกันที่เท่ากัน) แต่ก็มีผลตอบแทนที่สูงกว่า เพราะเอาเงินไปลงทุนมากกว่า) แต่ผลตอบแทนที่ได้ก็ยังถือว่าไม่สูงมากอยู่ดี(โดยทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 1% กว่าๆ – 2% กว่าๆต่อปี) เนื่องจากบริษัทประกันต้องรับความเสี่ยงในการลงทุนแทนคนทำประกัน และมีการการันตีเงินคืน ทำให้ต้องลงทุนในอะไรที่มีความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนก็เลยต่ำไปด้วย
แต่สำหรับประกันชีวิตแบบยูนิตลิงค์แล้ว แทนที่บริษัทจะนำเงินส่วนที่ 2) ไปลงทุนแทนเรา โดยต้องลงทุนที่ความเสี่ยงต่ำๆอย่างเดียว บริษัทก็จะให้เราสามารถ “เลือก” ลงทุนด้วยตัวเอง ผ่าน “กองทุนรวม” ที่บริษัทคัดสรรมาแล้ว เพื่อให้เราสามารถบริหารจัดการการลงทุนให้ได้ผลตอบแทนที่เราต้องการ ในระดับความเสี่ยงที่เรารับได้ เช่นเดียวกับการลงทุนในกองทุนรวมทั่วไปเลยครับ
ถึงจุดนี้ บางคนอาจจะสงสัยว่า “แล้วมันต่างจากการไปลงทุนในกองทุนรวมทั่วไปยังไง?” หรือ “แล้วทำไมต้องมาซื้อยูนิตลิงค์ ไปซื้อกองทุนรวมทั่วไป ไม่ดีกว่าเหรอ?” คำตอบก็คือ เราไม่สามารถเอายูนิตลิงค์กับกองทุนรวมมาเปรียบเทียบกันได้โดยตรงครับ เพราะยูนิตลิงค์แม้จะมีการลงทุนด้วย แต่สุดท้ายหัวใจของมันก็คือการทำประกัน ที่มีเรื่องของค่าใช้จ่ายในการดำเนินการประกันภัยเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยทำให้หากดูเฉพาะแค่ผลตอบแทน มันย่อมน้อยกว่าการไปลงทุนในกองทุนรวมโดยตรงด้วยตัวเองอยู่แล้ว ดังนั้น จะเปรียบเทียบกันเฉพาะแต่ในแง่ของผลตอบแทนอย่างเดียวไม่ได้ครับ ต้องดูในแง่ของการคุ้มครองชีวิตด้วย เช่น สำหรับคนที่เอาเงินไปลงทุนเอง หากเสียชีวิตกะทันหัน ในช่วงที่ผลตอบแทนขาดทุนอยู่พอดี ลูกหลานก็จะได้รับมรดกเท่ากับมูลค่าการลงทุนที่กำลังขาดทุนอยู่ แต่หากเป็นยูนิตลิงค์ แม้ผู้เอาประกันจะจากไปขณะที่มูลค่าเงินสด หรือมูลค่าการลงทุนในกรมธรรม์ลดต่ำลงจากผลการลงทุนที่ขาดทุน ลูกหลานหรือผู้เอาประกัน ก็จะได้รับเป็นเงินเอาประกันที่มีมูลค่าสูงกว่ามูลค่าการลงทุนในกรมธรรม์(ที่กำลังขาดทุนอยู่) แน่ๆ จึงถือเป็นการทำประกันชีวิตที่มีการคุ้มครองความเสี่ยงหากเสียชีวิต ตรงนี้ด้วยที่ทำให้ต่างจากการลงทุนทั่วไปอย่างชัดเจน
นอกจากจะสามารถให้เราเลือกบริหารการลงทุนในเงินส่วนที่ 2) เองได้แล้ว ยูนิตลิงค์ยังสามารถให้เรา “กำหนดสัดส่วน” ระหว่างความคุ้มครองตามกรมธรรม์ กับส่วนของเงินลงทุนเองได้ (กำหนดสัดส่วนระหว่างเงินส่วนที่ 1) กับ 2) ด้วยตัวเองนั่นแหละครับ) ว่าจะให้มีสัดส่วนของความคุ้มครองชีวิตหรือการลงทุนมากกว่ากัน ถ้าเราเลือกให้สัดส่วนของความคุ้มครองสูงขึ้น ก็จะทำให้เราได้ทุนประกันที่สูงขึ้น (หรือมองอีกมุมหนึ่งคือ ถ้าเราเลือก/ปรับให้ทุนประกันสูงขึ้น ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการประกันภัยของเราก็จะสูงขึ้น) แต่ขณะเดียวกันก็จะทำให้สัดส่วนของเงินที่นำไปลงทุนลดลง ทำให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ลดลงตาม มูลค่าการลงทุนในกรมธรรม์(จากการลงทุน)ของเราก็จะโตช้าลง ดังนั้น เราสามารถปรับเพิ่ม/ลด ทุนประกัน/เงินลงทุน ตามความต้องการในแต่ละช่วงอายุเองได้ ช่วงอายุไหนที่เรามีความต้องการคุ้มครองชีวิตมาก (เช่น มีลูก หรือมีหนี้สินเพิ่ม) เราก็เลือกปรับทุนประกันสูงขึ้น หรือช่วงไหนที่เราไม่มีภาระทางการเงินแล้ว เราก็ปรับลดทุนประกันให้ต่ำลง เพื่อให้มีสัดส่วนของเงินลงทุนมากขึ้น มูลค่าเงินลงทุนการลงทุนในกรมธรรม์จะได้เพิ่มสูงขึ้น เอาไว้ถอนใช้ยามจำเป็นตามเป้าหมายทางการเงินของชีวิต (เช่น เป็นค่าเล่าเรียนลูก หรือใช้ตอนเกษียณอายุ) ที่เราต้องการได้ครับ
ประเภทของประกันชีวิตแบบยูนิตลิงค์และความแตกต่าง
โดยส่วนใหญ่ประกันชีวิตแบบยูนิตลิงค์จะมีอยู่ 2 ประเภทครับ คือแบบ “จ่ายเบี้ยรายงวด” หรือ RP (Regular Premium) และแบบ “จ่ายเบี้ยครั้งเดียว” หรือ SP (Single Premium) ซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างกันดังนี้ครับ
- ระยะเวลาจ่ายเบี้ย = RP สามารถแบ่งจ่ายเป็นรายงวดได้ และกำหนดเองได้ว่าจะจ่ายกี่ปี ขณะที่ SP จ่ายครั้งเดียวจบ
- เบี้ยขั้นต่ำ = RP สามารถทำได้ในเบี้ยเริ่มต้นที่ต่ำกว่า SP (RP ประมาณ 1x,xxx – 2x,xxx บาทต่อปี ขณะที่ SP ประมาณ 5x,xxx – 1xx,xxx บาท แล้วแต่บริษัทกำหนด)
- การชำระเบี้ย = RP สามารถหยุดพักจ่ายเบี้ยระหว่างทางได้ขณะที่ SP ไม่มีเนื่องจากจ่ายเบี้ยเพียงครั้งเดียว
- การคุ้มครองชีวิต = RP สามารถเลือกวงเงินคุ้มครองหรือทุนประกัน ทั้งขั้นต่ำสุดและขั้นสูงสุด ได้สูงกว่า SP
- ค่าใช้จ่ายในการดำเนินการประกันภัยส่วนของการทำประกันชีวิต = RP จะมีค่าใช้จ่ายต่อปีสูงกว่า SP
เพราะฉะนั้น อาจจะพอสรุปได้คร่าวๆว่า RP จะผลตอบแทนต่ำกว่า SP (เพราะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า) แต่จะทำทุนประกันได้สูงกว่า RP จึงเหมาะกับการทำประกันควบการลงทุนที่เน้นการคุ้มครองชีวิตมากกว่า SP ที่เหมาะกับการทำประกันควบการลงทุนที่เน้นเรื่องของผลตอบแทนมากกว่าครับ
สรุปข้อดี / ข้อเสีย จุดเด่น / จุดด้อย ของประกันชีวิตแบบยูนิตลิงค์
ข้อดี / จุดเด่น
- เป็นประกันชีวิตที่มีความยืดหยุ่นสูง ต่างจากประกันชีวิตแบบดั้งเดิมทั่วไป เพราะมีอิสระสามารถเลือกเองได้ว่าอยากจ่ายเบี้ยกี่ปี (เฉพาะ RP) ต้องการการคุ้มครองกี่ปี (ขึ้นอยู่กับมูลค่าเงินลงทุนการลงทุนที่คงเหลือในกรมธรรม์ด้วย) และสามารถปรับเพิ่ม / ลด ทุนประกันชีวิตได้ตามความจำเป็นและความเหมาะสมในแต่ละช่วงชีวิต
- เลือกถอนเงินจากมูลค่าเงินลงทุนการลงทุนในกรมธรรม์เองได้ ต่างจากประกันแบบเดิมที่เป็นแบบสะสมทรัพย์หรือแบบบำนาญ ที่จะได้เงินจากกรมธรรม์เท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับเงินจ่ายคืน ตามเงื่อนไขของแบบประกันที่ถูกกำหนดมาแล้ว
- มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าประกันชีวิตแบบทั่วไป เพราะสามารถเลือกบริหารการลงทุนผ่านกองทุนรวมเองได้ หากมีระยะเวลาการลงทุนนาน ก็สามารถรับความเสี่ยงได้สูงขึ้นได้
- สามารถเพิ่มเงินออม (Top Up) เพื่อนำมาลงทุนได้ตลอดสัญญา โดยไม่ต้องซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตเล่มใหม่
ข้อเสีย / จุดด้อย
- ค่าใช้จ่ายในส่วนของ “ค่าการประกันภัย” (Cost of Insurance) จะปรับสูงขึ้นตามอายุ ต่างจากแบบประกันทั่วไป ที่ค่าการประกันภัยจะคงที่ (ขึ้นอยู่กับอายุตอนที่เราทำประกัน) ดังนั้น หากคนที่อายุมากๆมาทำประกันแบบยูนิตลิงค์อาจจะไม่คุ้ม เพราะอัตราการเพิ่มขึ้นของค่าการประกันภัยในปีหลังๆ อาจจะสูงกว่าอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน ทำให้มูลค่าเงินสดในกรมธรรม์จะค่อยๆลดลง
- มีความไม่แน่นอนของผลตอบแทน ไม่มีการการันตีว่าจะได้เงินคืนตามเปอร์เซ็นต์ของทุนประกันเท่านั้นเท่านี้แน่ๆ เหมือนประกันแบบดั้งเดิม เพราะเป็นการลงทุนผ่านกองทุนรวมที่ต้องเลือกลงทุนด้วยตัวเอง จึงต้องเข้าใจเรื่องของความเสี่ยงและรับความเสี่ยงให้ได้
- มีความซับซ้อนและต้องอาศัยความรู้ในการบริหารพอร์ตการลงทุน (Portfolio Management) ไม่อย่างนั้นหากลงทุนไปโดยไม่มีความรู้ ก็อาจจะเสี่ยงสูงเกินไป จนเกิดผลขาดทุนที่ทำให้มูลค่าเงินลงทุนการลงทุนในกรมธรรม์ไม่เพียงพอต่อการถูกหักไปจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการประกันภัยได้ (สำหรับ RP หากเราหยุดจ่ายเบี้ย ระบบจะไปตัดจากมูลค่าเงินลงทุนการลงทุนในกรมธรรม์มาจ่ายเอง)
ตัวอย่างประกันชีวิตแบบยูนิตลิงค์
ปัจจุบันนี้มีบริษัทประกันชีวิตหลายแห่งที่มีผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุนออกมาบ้างแล้ว ตัวอย่างของประกันชีวิตแบบยูนิตลิงค์แบบนี้ก็เช่น “เมืองไทย ยูนิตลิงค์ 1” ทั้งแบบ RP และแบบ SP ของบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต ซึ่งก็จะมีลักษณะและรูปแบบของแบบประกันตามที่ได้อธิบายไป โดยหากเป็นแบบ RP จะสามารถเลือกจ่ายเบี้ยประกันได้ตั้งแต่ขั้นต่ำ 20,000 บาทต่อปี และสามารถเลือกทุนประกันขั้นต่ำได้ไม่ต่ำกว่า 15 เท่าของเบี้ยประกัน ขั้นสูงได้ไม่เกิน 80 เท่าของเบี้ยประกัน ส่วนแบบ SP เลือกจ่ายเบี้ยประกันได้ตั้งแต่ขั้นต่ำ 75,000 บาท สามารถเลือกทุนประกันขั้นต่ำได้ไม่ต่ำกว่า 1.25 เท่าของเบี้ยประกัน ขั้นสูงได้ไม่เกิน 12.5 เท่าของเบี้ยประกัน (ซึ่งขั้นต่ำขั้นสูงของทั้ง 2 แบบเป็นตัวอย่างสำหรับคนที่อายุไม่เกิน 40 ปี เท่านั้น ยิ่งอายุมากขึ้น ก็จะยิ่งได้จำนวนเท่าน้อยลง)
ในส่วนของกองทุนรวมที่บริษัทคัดเลือกมา จะมีทั้งประเภทกองทุนรวมตราสารหนี้, กองทุนรวมแบบผสม (ตราสารหนี้ + หุ้น), กองทุนรวมตราสารทุน (หุ้น), กองทุนรวมตราสารทุนต่างประเทศ (หุ้นต่างประเทศ) รวมถึงกองทุนรวมสินทรัพย์ทางเลือก อย่างทองคำ ด้วย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกองทุนจาก บลจ. กสิกรไทย เป็นหลัก เช่น กองทุน K-CBOND (ตราสารหนี้), K-2500 (แบบผสมหุ้นไม่เกิน 20%), K-CHINA (หุ้นจีน) นอกจากนั้นก็มีกองทุนยอดนิยมจากบลจ.อเบอร์ดีน อย่างเช่น กองทุน ABSM (อเบอร์ดีสมอลแค็พ : หุ้นขนาดกลาง-เล็ก) และจากบลจ.กรุงศรี อย่างกองทุน KFSDIV (หุ้นปันผล) มาให้เลือกด้วยเช่นกัน
Credit : บทความนำมาจาก http://www.aommoney.com/